คลิกทำแบบทดสอบก่อนเรียน
หรือ สแกน QR Code ทำข้อสอบ

เรื่องความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการขับร้องประสานเสียง
ภาพที่ 1 แสดงการขับร้องประสานเสียง
ที่มา : http://www.music.mahidol.ac.th , 2558
แมส (Mass)
ๅๅๅๅๅแมส คือ บทเพลงสวดของชาวโรมันคาทอลิก ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเพลงในโบสถ์ในลัษณะต่างๆ และพลงคฤหัสในเวลาต่อมาด้วย ลักษณะของแมส มีคู่กับศาสนามาเป็นเวลาช้านานตั้งแต่ในอดีต แมสถูกแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ บทเพลงภาคปกติ และภาคเฉพาะ
ๅๅๅๅๅคำว่า แมสมิสซา (Missa) หรือพิธีมิสซบูชาขอบพระคุณ เป็นพิธีที่สำคัญที่สุดในศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก เป็นการชุมนุมกันของชาวคริสต์เพื่อระลึกถึงการรับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูกับสุนุศิษย์ คำว่า มิสซา มาจากประโยคสุดท้ายของการกล่าวจบพิธีในภาษาละติน “ Ite, missa est ( congregation ) ” ซึ่งในภาษไทยมีความหมายว่า “ พิธีบูชาขอบพระคุณจบแล้ว ”
ประวัติของแมส
ๅๅๅๅๅการประพันธ์แมสแต่เดิมเป็นบทเพลงขับร้องด้วยทำนองเดียวไม่มีการประสานเสียงแต่อย่างใด ( Apel and Daniel, 1972 ) ในลักษณะของบทเพลงสวดดั้งเดิม ( Plain Song ) ซึ่งบทเพลงลักษณะเช่นนี้ได้รับอิทธิพลมาจากบทเพลงร้องชาวฮิบรู ( Miller, 1972 ) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของคริสต์ศาสนา โดยปกติแมสแบบบทเพลงภาคเฉพาะมีความสลับซับซ้อนในการประพันธ์มากกว่าแมสแบบบทเพลงภาคปกติ ในศตวรรษที่ 12 รูปแบบของเพลงแมสเป็นบทเพลงขับร้องที่ใช้การประพันธ์เพลงแบบการสอดประสานทำนอง ตัวอย่างของแมสยุคนี้ ได้แก่ The Orgaba of the School of Notredam ประพันธ์โดยเลโอนินและเพโรติน เป็นต้น โดยมีที่มาจาก Gradual และ Alleluia ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแมสแบบบทเพลงภาคเฉพาะ ภายหลังผู้ประพันธ์เพลงเริ่มประพันธ์เพลงแมสแบบบทเพลงภาคปกติมากกว่า เนื่องจากนำมาบรรเลงซ้ำได้หลายครั้งต่อปี ในขณะที่ Gradual สามารถบรรเลงได้เพียงครั้งเดียวต่อปี ในช่วงศตวรรษที่ 14 ผลงานแมสบทที่สมบูรณ์และเป็นที่รู้จัก ได้แก่ ผลงานของมาโชต์ ในศตวรรษที่ 15 และ 16 แมสที่ประพันธ์ขึ้นมักนำมาจากทำนอเพลงคฤหัสถ์ ซึ่งทำนองที่นิยมนำมาใช้คิอ L’ Homme arme ตัวอย่างผลงานประพันธ์ที่น่าสนใจ เช่น ผลงานแมส “ Se la face ay pale ” ของดูฟาย และมีผู้ประพันธ์เพลงแมสสำคัญอีกหลายคน ได้แก่ โอเคเกม โอเบรชต์ และปาเลสตรินา เป็นต้น ในศตวนนษที่ 17 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัญ เริ่มมีวงออร์เคสตราผนวกกับกราขับร้อง ซึ่งมีทั้งการขับร้องเดี่ยว ขับร้องกลุ่มเล็กๆ และการขับร้องประสานเสียง ทำให้แมสเป็นบทเพลงขนาดใหญ่ มีความสมบูรณ์มากขึ้นกว่าสมัยโบราณโดยเฉพาะในศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา แมส กลายเป็น บทเพลงที่นิยมแสดงในโรงแสดงคอนเสิร์ตด้วย มิใช่เป็นบทเพลงที่ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา
ลักษณะของแมส
ๅๅๅๅๅแมสประกอบด้วยสองส่วนตามมลักษณะของบทสวด คือ บทเพลงสวดภาคปกติ และบทเพลงสวดเฉพาะ
11111. บทเพลงสวดภาคปกติ ( The Ordinary of the Mass ) เป็นส่วนหนึ่งในการประกอบพิธีมิสซา เนื้อเพลงมีลักษณะแน่นอนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในการประกอบพิธีมีการแบ่งออกเป็นภาค ได้แก่ เริ่มพิธี ภาควจนพิธีกรรม ภาคบูชาขอบพระคุณ และปิดพิธี ประกอบด้วย
1111111Kyrie บทศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในภาคเริ่มพิธี
1111111Gloria บทพระสิริรุ่งโรจน์ อยู่ในภาคเริ่มพิธี
1111111Credo บทข้าพเจ้าเชื่อ อยู่ในภาควนพิธี
1111111Sanctus บทศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในภาคบูชาขอบพระคุณ
1111111Agnus Dei บทลูกแกะพระเจ้า อยู่ในภาคบูชาขอบพระคุณ
11111บทสวดใช้อยู่ในพิธีทั้ง 5 บทนี้เป็นบทที่สำคัญและยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัญ ในการประกอบพิธีมีการร้องบทสวดเหล่านี้เป็นเพลง แต่ในบางครั้งใช้เพียงการพูดหรือตอบรับกับพระสงฆ์เท่านั้น ขึ้นอยู่กับรูปแบบและประเภทของพิธี
- บทเพลงสวดภาคเฉพาะ ( The Proper of the Mass ) ใช้ประกอบพิธีมิสซา บทเพลงในกลุ่มนี้บางบทมาจากบทสวด แต่สามารถเปลี่ยนแปลงเนื้อได้ตามเทศกาลหรือตามความเหมาะสมประกอบด้วย 5 บทคือ
11111Introit บทเริ่มพิธี อยู่ในภาคเริ่มพิธี
11111Gradual บทคั่นระหว่างบทอ่าน อยู่ในภาควจนพิธีกรรม
11111Alleluia บทอัลเลลูยา อยู่ในภาควจนพิธีกรรม
11111Offertory บทเตรียมเครื่องบูชา อยู่ในภาคบูชาขอบพระคุณ
11111Communion บทรับศีล อยู่ในภาคบูชาขอบพระคุณ
11111แมสยังสามารถแบ่งได้ตามจุดประสงค์ของการใช้งาน ได้แก่ บทเพลงแมสที่ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา และแมสที่ใช้ในการแสดงคอนเสิร์ต
สุนทรียะของแมส
1111แมส เป็นบทเพลงที่กำเนิดขึ้นโดยเกี่ยวพันกับคริสต์ศาสนาใช้ในการประกอบพิธีในโบสถ์จุดประสงค์แต่แรกเริ่มจึงเป็นการประพันธ์เพื่อใช้งานแมสในยุคแรกเป็นบทเพลงขับร้องอย่างเดียวไม่มีดนตรีบรรเลงประกอบ มีลักษณะง่ายๆ เน้นการสวดเพื่อประกอบพิธี แต่มีความไพเราะตามดนตรียุคโบราณ ซึ้งผู้ฟังโดยทั่วไปจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจและซาบซึ้งในองค์ประกอบดนตรีที่เรียบง่าย แฝงไว้ด้วยความไพเราะและศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าของผู้ประพันธ์เพลงแต่ละคนที่นำเสนอสาระดนตรีประกอบทสวดที่เป็นภาษาละติน
11111ในศตวรรษที่ 12 มีการสอดประสานทำนองซึ่งเป็นรูปแบบการประพันธ์ดนตรีที่นิยมในสมัยนั้น ความซับซ้อนเห็นได้อย่างเด่นชัด ซึ่งส่วนใหญ่แมสในสมัยนั้นจะเป็นบท เพลงขับร้องเท่านั้นไม่นิยมใช้ดนตรีประกอบไม่นิยมใช้ดนตรีบรรเลงประกอบ
11111ในยุคต่อมา แมส กลายเป็นบทเพลงที่มิใช่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้นหากแต่กลายเป็นบทเพลงที่ใช้แสดงในโรงแสดงดนตรี เพื่อสื่อถึงความงดงามและความศรัทธาในศาสนาในเวลาเดียวกัน ซึ่งมีการขับร้องเดี่ยว ประสานเสียง ขับร้องเดี่ยวร่วมกับการประสานเสียง การขับร้องคู่ และการบรรเลงสลับกับวงออเคสตราในบางขณะ สิ่งเหล่านี้ทำให้แมสเป็นบทเพลงที่เต็มไปด้วยความงดงามทางสุนทรียรสแห่งโสตศิลป์โดยสมบูรณ์
1111การขับร้องประสานเสียง หมายถึง การขับร้องแบบหนึ่งที่มีผู้ขับร้องตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป อาจร้องเพลงที่มีทำนองเดียวกันแต่ขึ้นต้นหรือจบลงไม่พร้อมกัน การขับร้องประสานเสียงทั่วไปเรียกว่า “คอรัส” (Chorus) การขับร้องประสานเสียงนั้นเราสามารถแยกส่วนของการขับร้องออกเป็นทำนองหลัก (Theme) ส่วนประสานเสียงและส่วนทำนองสอด เราเรียกการขับร้องแบบนี้ว่า “แบบพาร์ดซิงกิง”(Part Singing) และเรียกกลุ่มนักร้องว่า “ไควเยอร์” (Choir) หมู่ขับร้องประสานเสียงอาจประกอบด้วยชายล้วน หญิงล้วน หรือทั้งหญิงและชายก็ได้ (บุญส่ง วรวัฒน์,2550: 67)
11112.1 รูปแบบการขับร้องประสานเสียง
111111112.1.1. การขับร้องแบบราวด์ (Round) การขับร้องแบบราวด์ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า แบบวน หรือเพลงวน เป็นการขับร้องที่มีผู้ขับร้องตั้งแต่ 2 คนหรือ 2 กลุ่มขึ้นไป ร้องเพลงแนวทำนองเดียวกัน แต่เริ่มต้นและจบไม่พร้อมกัน ส่วนจะร้องกี่เที่ยวนั้นขึ้นอยู่กับการตกลงของผู้ขับร้องหรือผู้ควบคุม
111111112.1.2. เพลงแคนอน (Canon) โดยมีลักษณะทั่วไปคล้ายเพลงราวนด์ แต่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับดนตรีที่มีแบบแผน มีโครงสร้างซับซ้อนกว่า บางครั้งเพลง Canon จะสะกดด้วยตัว K คือ Kanon ที่เป็นภาษาเยอรมัน
111111112.1.3. เพลงเดสแคนท์ (Descant) คือแนวทำนองที่อยู่เหนือทำนองเพลงหนึ่ง โดยปกติจะใช้ผู้ร้องประมาณ 4-5 คน ในขณะที่ผู้ร้องที่เหลืออีกร้องเพลงหนึ่ง
111111112.1.4. การขับร้องประสานเสียง 2-4 แนว (Part-Singing Songs) คือ การขับร้องที่ต้องมีแนวทำนองเพลงที่แตกต่างกัน โดยทำนองหลัก 1 ทำนอง ส่วนที่เหลือเป็นทำนองประสานร้องไปพร้อม ๆ กันหลายคน
2.2 การแบ่งแนวเสียง
เสียงขับร้องของมนุษย์ตามหลักสากลแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1111112.2.1 แนวโซปราโน (Soprano) เป็นเสียงสูงสุด ได้แก่ เสียงของผู้หญิงที่มีเสียงสูงและเด็กที่เสียงยังไม่แตกมีขอบเขตเสียงจาก โด-ซอล
ภาพที่ 2 แสดงขอบเขตแนวเสียงโซปราโน
ที่มา : ดวงใจ อมาตยกุล , 2558
1111112.2.2 แนวอัลโต (Alto) เป็นเสียงที่ต่ำรองลงมาจากโซปราโน ได้แก่ เสียง
ของผู้หญิงที่มีเสียงต่ำกว่าโซปราโน มีขอบเขตเสียงจาก ซอล-โด
ภาพที่ 3 แสดงขอบเขตแนวเสียงอัลโต
ที่มา : ดวงใจ อมาตยกุล , 2558
1111112.2.3 แนวเทนเนอร์ (Tenor) ได้แก่ เสียงผู้ชายที่มีเสียงสูง มีขอบเขตเสียงจากโด-ซอล
ภาพที่ 4 แสดงขอบเขตแนวเสียงเทนเนอร์
ที่มา : ดวงใจ อมาตยกุล , 2558
1111112.2.4 แนวเบส (Bass) ได้แก่ เสียงผู้ชายที่มีเสียงต่ำ มีขอบเขตเสียงจากฟา-โด
ภาพที่ 5 แสดงขอบเขตแนวเสียงเบส
ที่มา : ดวงใจ อมาตยกุล , 2558
111111โดยธรรมชาติ คนเราจะมีขอบเขตเสียงของแต่ละคนไม่เท่ากัน อย่างเช่นบางคนเสียงสูงมาก บางคนเสียงต่ำและบางคนก็ต่ำมากไม่เท่ากัน การขับร้องประสานเสียงจึงต้องมีการจัดขอบเขตเสียงให้ผู้ร้อง ว่าคนไหนควรจะขับร้องในแนวใด ซึ่งในทางเทคนิคแล้วจะแบ่งช่วงเสียงของคนเราเป็น 4 ประเภทดังกล่าว
คลิกทำแบบทดสอบหลังเรียน
หรือ สแกน QR Code ทำข้อสอบ
You must be logged in to post a comment.