คลิกทำแบบทดสอบก่อนเรียน
หรือ สแกน QR Code ทำข้อสอบ
การร้องโน้ตเบื้องต้น
1111111ก่อนจะปฏิบัติเครื่องดนตรีหรือร้องเพลง ต้องเข้าใจหลักการของทฤษฎีดนตรี เพื่อจะได้นำไปสู่การปฏิบัติได้ถูกต้อง การเรียนรู้ทฤษฎีดนตรีเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจกับเครื่องหมายทางดนตรีในระดับพื้นฐาน ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่มีความสำคัญมากอาจเปรียบเทียบได้กับ พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ อันเป็นเครื่องหมายที่ใช้ในการเขียนและการอ่านภาษาไทยซึ่งใช้สอนผู้เริ่มเรียน เครื่องหมายทางดนตรีที่นำเสนอนี้เป็นเครื่องหมายในระดับพื้นฐานทางดนตรีสากล ซึ่งมีรูปแบบและชื่อเรียกต่าง ๆ ดังนี้
ทฤษฎีดนตรีสากลเบื้องต้นทm
1111111ตัวโน้ต เป็นระบบการบันทึกแทนเสียงดนตรีที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 โดย กีโด เดอ อเรซ์โซ (Guido d’ Arezzo, 995-1050) บาทหลวงชาวอิตาเลียน ต่อมาได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสมบูรณ์อย่างที่เราได้พบเห็นและใช้กันในปัจจุบัน
ตัวโน้ตสามารถบอกหรือสื่อให้นักดนตรีทราบถึงความสั้น – ยาว, สูง – ต่ำ ของระดับเสียงเราจึงควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับลักษณะของตัวโน้ตดนตรี (Music Notation)
1111111111ชื่อตัวโน้ตหรืออักษรดนตรี (Alphabet of sound) ใช้เรียงลำดับจากเสียงสูงไปเสียงต่ำนิยมใช้ 2 ระบบได้แก่ ระบบอังกฤษ คือ C D E F G A B และระบบอิตาลี คือ Do Re Me Fa So La Ti
1111111111บรรทัด 5 เส้น หมายถึง เส้นขนานแนวนอน 5 เส้นซึ่งเป็นส่วนประกอบพื้นฐานสำคัญในการบันทึกโน้ตดนตรีสากลในปัจจุบัน (ณัชชา โสคติยานุรักษ์, 2550: 34) ใช้กำหนด
ระดับเสียงสูง-ต่ำของตัวโน้ต ในการนับให้นับเส้นล่างสุดเป็นเส้นที่ 1 แล้วเรียงลำดับไปจนถึงเส้นที่ 5 และนับจากช่องล่างสุดเป็นช่องที่ 1 แล้วเรียงลำดับไปจนถึงช่องที่ 4
บรรทัด 5 เส้น
ตัวเลขแสดงเส้นของบรรทัด 5 เส้น
ตัวเลขแสดงช่องของบรรทัด 5 เส้น
2.1 เส้นน้อย (Ledger line) เมื่อนำตัวโน้ตทั้งคาบเส้นและในช่องมาเรียงลำดับจากเสียงต่ำไปเสียงสูงหรือเสียงสูงลงมาเสียงต่ำพบว่าสามารถบันทึกตัวโน้ต
ได้เพียง 11 ตัวเท่านั้น หากต้องการบันทึกตัวโน้ตเพิ่มเติมให้มีเสียงสูงขึ้นหรือต่ำกว่าบรรทัด 5 เส้นนั้นต้องใช้เส้นที่ต่อขึ้นไปหรือลงมาจากบรรทัด 5 เส้น เรียกเส้นนี้ว่า
“เส้นน้อย” ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นสั้น ๆ ขนานไปกับบรรทัด 5 เส้น และมีช่องห่างระหว่างเส้นเท่ากันดังภาพ
1111111111
1111111111กุญแจประจำหลักเสียง เป็นเครื่องหมายกำหนดช่วงเสียงดนตรี เช่น กุญแจโซลกำหนดเสียงสูง กุญแจฟากำหนดช่วงเสียงต่ำ เป็นต้น
กุญแจโซล กุญแจฟา
11111111113.1 กุญแจโซล เป็นเครื่องหมายประจำหลักที่ใช้สำหรับบันทึกระดับเสียงของเครื่องดนตรีหรือเสียงร้องที่มีระดับกลางถึงสูง ภาษาอังกฤษเรียก “จี เคลฟ”(G Clef) หรือ “เทร็บเบิ้ล เครฟ” (Treble Clef) โดยทั่วไปเรียกว่า “กุญแจโซล” ในการเขียนกุญแจโซลบันทึกโดยหัวกุญแจให้คาบเส้นที่ 2 ของบรรทัด 5 เส้น โน้ตทุกตัวที่คาบอยู่บนเส้นที่ 2 ของบรรทัด 5 เส้น จะมีเสียงเดียวกับชื่อกุญแจคือ “โซล”
11111111113.2 กุญแจฟา เป็นเครื่องหมายประจำหลักที่ใช้สำหรับบันทึกระดับเสียงของเครื่องดนตรีหรือเสียงร้องที่มีระดับต่ำ ภาษาอังกฤษเรียก “เอฟ เคลฟ” (F Clef) หรือ “เบส เครฟ” (Bass Clef) โดยทั่ว ๆ ไปมักเรียกว่า “กุญแจฟา” ในการเขียนกุญแจฟาเขียนโดยหัวกุญแจให้คาบเส้นที่ 4 ของบรรทัด 5 เส้น โน้ตทุกตัวที่คาบอยู่บนเส้นที่ 4 ของบรรทัด 5 เส้น จะมีเสียงเดียวกับชื่อกุญแจคือ “ฟา”
1111111111เครื่องหมายกำหนดจังหวะ เป็นเครื่องหมายใช้เขียนทำนองเพลง ตัวเลขด้านบน หมายถึง จำนวนจังหวะใน 1 ห้องเพลง ตัวเลขด้านล่าง หมายถึง ชนิดของตัวโน้ตที่เป็นเกณฑ์ 1 จังหวะ ความหมายของตัวเลขด้านล่างที่สัมพันธ์กับโน้ตดังนี้
หมายถึงในหนึ่งห้องมี สองจังหวะ โดยโน้ตตัวดำมีค่าเท่ากับ 1 จังหวะ
111111111111111เลข 2 ตัวบน หมายถึง ในหนึ่งห้องเพลงมี 2 จังหวะ
111111111111111เลข 4 ตัวล่าง หมายถึง โน้ตตัวดำมีค่าเท่ากับ 1 จังหวะ
หมายถึงในหนึ่งห้องมี สี่จังหวะ โดยโน้ตตัวดำมีค่าเท่ากับ 1 จังหวะ
111111111111111เลข 4 ตัวบน หมายถึง ในหนึ่งห้องเพลงมี 4 จังหวะ
111111111111111เลข 4 ตัวล่าง หมายถึง โน้ตตัวดำมีค่าเท่ากับ 1 จังหวะ
หมายถึงในหนึ่งห้องมีสองจังหวะ โดยโน้ตตัวขาวมีค่าเท่ากับ 1 จังหวะ
111111111111111เลข 2 ตัวบน หมายถึง ในหนึ่งห้องเพลงมี 2 จังหวะ
111111111111111 เลข 2 ตัวล่าง หมายถึง โน้ตตัวขาวมีค่าเท่ากับ 1 จังหวะ
หมายถึงในหนึ่งห้องมีหกจังหวะ โดยโน้ตตัวเขบ็ต 1 ชั้น มีค่าเท่ากับ 1 จังหวะ
111111111111111เลข 6 ตัวบน หมายถึง ในหนึ่งห้องเพลงมี 6 จังหวะ
111111111111111 เลข 8 ตัวล่าง หมายถึง โน้ตตัวเขบ็ต 1 ชั้นมีค่าเท่ากับ 1 จังหวะ
1111111111โน้ต (Note) คือ เครื่องหมายที่สามารถปฏิบัติโดยการออกเสียง ในที่นี้หมายถึง“โน้ตสากล” โรเจอร์ คาเมน (Roger Kamien) ได้กล่าวถึงส่วนประกอบของโน้ตไว้ดังนี้
11111111115.1. ส่วนประกอบของโน้ต ส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของโน้ตคือส่วนที่เรียกว่า “หัวโน้ต (Note Head)” มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับฟองไข่สอดคล้องกับภาษา
ต้นแบบที่เรียกว่า “โอวอล์ (Oval)” มีอยู่ 2 รูปแบบ คือ รูปแบบที่ 1 เป็นหัวโน้ตที่ไม่ระบายสี ภาษาต้นแบบเรียกว่า “ไวท์ โอวอล์ (White Oval)” ส่วนรูปแบบที่ 2 นั้นเป็นหัวโน้ตที่ระบายสีทึบ ภาษาต้นแบบเรียกว่า “แบล๊ค โอวอล์ (Black Oval)” ส่วนประกอบอีกอย่างหนึ่งมีลักษณะเป็นเส้นตรงในแนวดิ่ง เมื่ออยู่ด้านขวาของหัวโน้ตจะชี้ขึ้นทาง
ด้านบน และเมื่ออยู่ทางด้านซ้ายของหัวโน้ตจะชี้ลงทางด้านล่าง ภาษาต้นแบบเรียกว่า “สเทิม (Stem)”
ส่วนประกอบของโน้ต
5.2. ชื่อของลักษณะต่าง ๆ โดยทั่วไปมีลักษณะต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1111111111111111111111111Whole note เรียกว่า ตัวกลม
11111111111111111111 11 1Half note เรียกว่า ตัวขาว
11111111111111111111111 Quarter note เรียกว่า ตัวดำ
1111111111111111111111 1Eighth note เรียกว่า ตัวเขบ็ต 1 ชั้น
111111111111111111111111 Sixteenth note เรียกว่า ตัวเขบ็ต 2 ชั้น
แผนผังแสดงความสัมพันธ์ของตัวโน้ต ภาพที่ 6 แผนผังแสดงความสัมพันธ์ของตัวโน้ต
( ที่มา : ณัชชา โสคติยานุรักษ์, 2545 )
1111111111การเพิ่มค่าตัวโน้ตหรือค่าตัวหยุดให้ยาวขึ้นสามารถทำได้ 3 วิธีดังนี้
11111111116.1. โน้ตประจุด (Dotted note) เป็นการเพิ่มอัตราจังหวะของตัวโน้ตโดยการประจุด (.) เพิ่มเข้าไปด้านหลังของตัวโน้ตที่ต้องการเพิ่มอัตราจังหวะ จุด (.) ที่นำมาประหลังตัวโน้ตจะมีค่าเป็นครึ่งหนึ่งของตัวโน้ตข้างหน้าแล้วรวมกัน ดังตัวอย่าง
ภาพที่ 7 โน้ตประจุด
11111111116.2. การใช้เครื่องหมายโยงเสียง การโยงเสียงจะทำให้อัตราจังหวะของตัวโน้ตเพิ่มขึ้นตามอัตราจังหวะของตัวโน้ตที่ถูกโยงโดยใช้เส้นโค้ง ( ,
) โยงระหว่างตัวโน้ตที่ต้องการจะเพิ่มอัตราของจังหวะ การโยงเส้นโค้งสามารถโยงตัวโน้ตที่อยู่ต่างห้องกันได้
การโยงเสียงมี 2 ลักษณะ คือ
111111111111116.2.1 การโยงเสียงชนิดที่เรียกว่า “ทาย (Tie)” คือ การโยงเสียงตัวโน้ต
ที่อยู่ในบรรทัดเดียวกันหรือช่องเดียวกัน เพื่อให้เสียงยาวออกไป ดังตัวอย่าง
111111111111116.2.2 การโยงเสียงชนิดที่เรียกว่าสเลอร์ (Slur) คือ การรวมจังหวะตัวโน้ตที่อยู่ต่างเส้นของบรรทัดหรืออยู่ในช่องต่างกัน ดังตัวอย่าง
11111111116.3 การใช้สัญลักษณ์เฟอร์มาตา (Fermata) สัญลักษณ์เฟอร์มาตามีลักษณะเป็นเส้นโค้งครึ่งวงกลม มีจุดอยู่เหนือตัวโน้ตหรือตัวหยุด เฟอร์มาตาจะทำให้โน้ตหรือตัวหยุดมีค่าที่ยาวกว่าค่าที่แท้จริง แต่ค่าจะมากหรือน้อยเท่าใดไม่กำหนดขึ้นอยู่กับผู้ควบคุมวงดนตรีหรือนักดนตรี
1111111111จังหวะ หมายถึง ช่วงเวลาที่ดำเนินอยู่ในขณะที่บรรเลงดนตรี จังหวะมีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนที่ของทำนองและแนวประสานให้มีความสัมพันธ์กัน การเดินของจังหวะจะดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอจึงเปรียบเทียบจังหวะเหมือนกับเวลาหรือชีพจรของดนตรี (สมนึก อุ่นแก้ว,2549,หน้า 1) จังหวะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
11111111117.1 จังหวะเคาะ (Beat) หมายถึงจังหวะที่เคาะอย่างสม่ำเสมอเพื่อใช้ยึดเป็นหลักในการบรรเลงดนตรี หรือการขับร้อง โดยปกติมักปฏิบัติโดยการเคาะจังหวะด้วยเท้าเมื่อเล่นดนตรี เช่น เคาะเท้า 1 ครั้งคือ 1 จังหวะเพื่อวัดค่าความยาวของตัวโน้ต เป็นต้น
การเคาะจังหวะแต่ละครั้งจะมีลักษณะดังนี้
111111111111117.1.1 จังหวะตก (Down Beat) คือจุดที่ตกกระทบ
111111111111117.1.2 จังหวะยก (Up Beat) คือช่วงที่ถอยห่างออกจากกันถึงจุดที่เริ่มตกกระทบ สามารถปฏิบัติได้หลายวิธีดังนี้
การเคาะจังหวะด้วยเท้า
ภาพที่ 8 แสดงการเคาะจังหวะตกและจังหวะยก
( ที่มา : อัญชลี เมฆวิบูลย์ , 2558 )
ภาพที่ 9 การเคาะ 1 จังหวะ
ภาพที่ 10 การเคาะ 2 จังหวะ
ภาพที่ 11 การเคาะ 4 จังหวะ
( ที่มา : อัญชลี เมฆวิบูลย์ , 2558 )
7.1.3 จังหวะหนัก (Strong beat) หมายถึงจังหวะที่หนักกว่าจังหวะอื่น ๆ ภายในห้องเพลงเดียวกันมีหลายกลุ่ม เช่น
7.1.3.1 กลุ่ม 2 จังหวะ (Duple Meter) คือ จังหวะหนักอยู่
ที่จังหวะที่ 1 จังหวะที่ 2 เป็นจังหวะเบา
7.1.3.2 กลุ่ม 3 จังหวะ (Triple Meter) คือจังหวะหนักอยู่ที่จังหวะที่ 1 จังหวะที่ 2,3 เป็นจังหวะเบา
จังหวะที่ 2 และ 4 เป็นจังหวะเบา
11111111117.2 จังหวะลีลา (Rhythm) เช่น ช่าช่าช่า รุมบ้า แทงโก้ เป็นต้น
31111111117.3 จังหวะเทมโป้ (Tempo) เป็นอัตราจังหวะในเพลง Classic
1111111111ในบทเพลงจะมีตัวหยุดเพื่อใช้ในการพักทำนองเพื่อจบวรรคเพลงหรือเพื่อให้เพลงมีสีสันมากขึ้น “ตัวหยุด” (Rest) หมายถึง สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเงียบเสียงดนตรีหรือเสียงร้องแต่อัตราจังหวะยังคงดำเนินไปตลอด ตัวหยุดจะถูกเขียนลงบนบรรทัด 5 เส้น เช่นเดียวกับตัวโน้ต มีลักษณะต่างกันดังนี้
11111111111. ตัวหยุดโน้ตตัวกลม (Whole rest) มีความยาวจังหวะเท่ากับโน้ตตัวกลมแต่ไม่ต้องออกเสียงหรือปฏิบัติ
11111111112. ตัวหยุดโน้ตตัวขาว (Half rest) มีความยาวจังหวะเท่ากับโน้ตตัวขาวแต่ไม่ต้องออกเสียงหรือปฏิบัติ
11111111113. ตัวหยุดโน้ตตัวดำ (Quarter rest) มีความยาวจังหวะเท่ากับโน้ตตัวดำแต่ไม่ต้องออกเสียงหรือปฏิบัติ
11111111114. ตัวหยุดโน้ตตัวเขบ็ต 1 ชั้น (Eighth rest) มีความยาวจังหวะเท่ากับโน้ตตัวเขบ็ต 1 ชั้นแต่ไม่ต้องออกเสียงหรือปฏิบัติ
11111111115. ตัวหยุดโน้ตตัวเขบ็ต 2 ชั้น (Sixteenth rest) มีความยาวจังหวะเท่ากับโน้ตตัวเขบ็ต 2 ชั้นแต่ไม่ต้องออกเสียงหรือปฏิบัติ
1111111111เส้นกั้นห้อง เป็นเส้นตรงแนวดิ่งเพื่อใช้ในการแบ่งห้องเพลง โดยเขียนลงมาในแนวดิ่งทำให้เกิดห้องเพลง (Measure)
9.1 เครื่องหมายจบตอน (Double line) มีลักษณะเป็นเส้นคู่ ใช้เขียนปิดห้องเพลงเพื่อแสดงให้รู้ถึงการจบตอนของบทเพลง
9.2 เครื่องหมายจบบทเพลง (Fine) เป็นเครื่องหมายที่มีลักษณะเป็น
เส้นคู่ที่ประกอบด้วยเส้นบางและเส้นหนา ใช้เขียนปิดห้องเพลงสุดท้ายของบทเพลง
เพื่อแสดงให้รู้ถึงการจบบทเพลง
9.3 เครื่องหมายย้อน (Repeat Marks) เป็นเครื่องหมายที่ใช้เมื่อมีความประสงค์ที่จะบรรเลงหรือร้องซ้ำในตอนใดตอนหนึ่งของบทเพลง มีลักษณะเป็นเส้นคู่ที่ประกอบด้วยเส้นหนาและเส้นบางมีจุด 2 จุดประกบอยู่ทางเส้นด้านข้าง
11111111111เครื่องหมายแปลงเสียง เป็นเครื่องหมายที่ใช้ในการยกเสียงของโน้ตให้สูงขึ้น ลดระดับเสียงของโน้ตให้ต่ำลง เครื่องหมายแปลงเสียงสำคัญ 5 ชนิด ดังนี้
111111111110.1 เครื่องหมาย อ่านว่า ดับเบิ้ลชาร์ป (Double Sharp) คือเครื่องหมายที่มีผลทำให้ตัวโน้ตใดก็ตามที่มีเครื่องหมายนี้ วางอยู่ข้างหน้า โน้ตตัวนั้นจะถูกเลื่อนเสียงให้สูงขึ้นหนึ่งเสียง (1 Tone) ตัวอย่างเช่น ในบทเพลงหนึ่งเราต้องการให้ A มีระดับเสียงเพิ่มขึ้นหนึ่งเสียง เราก็ต้องกำกับด้วยเครื่องหมายดับเบิ้ลชาร์ปหน้าตัว A แล้วอ่านเป็น B เป็นต้น
111111111110.2 เครื่องหมาย อ่านว่า ชาร์ป (Sharp) คือ เครื่องหมายที่ใช้แปลงเสียงให้สูงขึ้นกว่าเดิมครึ่งเสียง ตัวอย่างเช่น ในบทเพลงหนึ่งเราต้องการให้ G มีระดับเสียงเพิ่มขึ้นครึ่งเสียง เราก็ต้องกำกับด้วยเครื่องหมายชาร์ปหน้าตัว G แล้วอ่านเป็น G ชาร์ป เป็นต้น
111111111110.3 เครื่องหมาย อ่านว่า ดับเบิ้ลแฟลต (Double Flat) คือเครื่องหมายที่มีผลทำให้โน้ตตัวใดก็ตามที่มีเครื่องหมายนี้ วางอยู่ข้างหน้า โน้ตตัวนั้นจะถูกเลื่อนเสียงให้ต่ำลงหนึ่งเสียง (1 Tone) ตัวอย่าง เช่น ในบทเพลงหนึ่งเราต้องการให้ A มีระดับเสียงลดลงหนึ่งเสียง เราก็ต้องกำกับด้วยเครื่องหมายดับเบิ้ลแฟลตหน้าตัว A แล้วอ่านเป็น G เป็นต้น
111111111110.4 เครื่องหมาย อ่านว่า แฟลต (Flat) คือเครื่องหมายที่ใช้แปลงเสียงให้ต่ำลงกว่าเสียงปกติครึ่งเสียง ตัวอย่าง เช่น ในบทเพลงหนึ่งเราต้องการให้ B มีระดับเสียงต่ำลงมาครึ่งเสียง เราก็ต้องกำกับด้วยเครื่องหมายแฟลตหน้าตัว B แล้วอ่านเป็น B แฟลต เป็นต้น
111111111110.5 เครื่องหมาย อ่านว่า เนเจอรัล (Natural) คือ เครื่องหมายที่ใช้แปลงเสียงให้กลับมาอยู่ในสภาพเสียงปกติ คือ ให้มีเสียงต่ำลงมาครึ่งเสียงอันเนื่องมาจากเครื่องหมายแฟลต หรือให้มีเสียงสูงขึ้นครึ่งเสียงอันเนื่องมาจากเครื่องหมายชาร์ป ตัวอย่างเช่น เสียง C ถูกกำหนดให้ต่ำกว่าปกติครึ่งเสียงโดยเครื่องหมายแฟลตอยู่ที่หลังกุญแจประจำหลัก เมื่อเราต้องการให้เสียง C อยู่ในสภาพเดิม ก็ต้องกำกับด้วยเครื่องหมายเนเจอรัลหน้าตัว C อ่านเป็น C เนเจอรัล เป็นต้น
1111111111สัญลักษณ์ทางดนตรีและศัพท์ทางดนตรี เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องบันทึกประกอบกับโน้ตดนตรีด้วย เครื่องหมายเหล่านี้สามารถใช้แทนศัพท์บางคำ หรือแทนคำสั่งยาว ๆ ได้เป็นอย่างดี นักดนตรีจำเป็นต้องรู้จักและจดจำ (ประสิทธิ์ เลียวศิริพงศ์,2533,100) ในบทเพลงแต่ละเพลง การที่จะเล่นดนตรีหรือร้องเพลงไปตามโน้ตนั้นจะต้องรู้ความหมายของสัญลักษณ์และศัพท์ต่างๆ ที่จะพบในบทเพลง ดังนี้
เครื่องหมาย | คำอ่าน | ความหมาย |
p. | เปียอาโน (Piano) | เบา |
f. | ฟอร์เต้ (Forte) | ดัง |
Fine | ฟิเน่ (Fine) | จบบทเพลง |
![]() |
เครเซนโด (Crescendo) | ค่อย ๆ เร่งเสียงให้ดังขึ้นทีละน้อย |
![]() |
เดเครเซนโด ( Decrescendo) | ค่อยๆ ลดเสียงให้เบาลงทีละน้อย |
D.S. | ดัลเซกโน (Dal Segno Sign) | ให้กลับไปเล่นที่เครื่องหมาย |
![]() |
โคดา (Coda Sign) | บอกท่อนจบของบทเพลง |
![]() |
รีพีท (Repeat Sign) | บรรเลงซ้ำในห้องเพลงที่อยู่ระหว่างเครื่องหมายย้อนกลับอีก 1 รอบ |
![]() |
ฟอร์มาต้า | การบรรเลงแบบยึดเสียงออกไปไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของโน้ตตัวข้างหน้า |
แบบฝึกหัดที่ 1
คลิกทำแบบทดสอบหลังเรียน
หรือ สแกน QR Code ทำข้อสอบ
You must be logged in to post a comment.