คลิกทำแบบทดสอบก่อนเรียน
หรือ สแกน QR Code ทำข้อสอบ
เทคนิคการขับร้องประสานเสียง
1111111111พื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการร้องเพลง คือการหายใจ นักร้องทุกคนควรศึกษาและทำความเข้าใจกับระบบหายใจ และการใช้ลมหายใจเพื่อสร้างเสียง สร้างความก้องกังวานและสร้างเทคนิคต่าง ๆ
1111111111ขั้นตอนของการเกิดเสียงขับร้อง เริ่มต้นที่ลมหายใจออกไปผ่านกล่องเสียง เกิดเสียงขึ้นและลมหายใจได้นำเสียงนั้นไปก้องวังวานในโพรงหน้า (mask) หรือในกะโหลกศรีษะแล้วพาเสียงออกไปนอกกาย หากผู้ขับร้องสามารถควบคุมลมหายใจในการทำงานได้อย่างราบรื่นก็จะร้องเพลงได้ดี มีเสียงที่ไพเราะ ใช้เทคนิคต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ดังนั้นจะเห็นว่าสิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรก คือการควบคุมลมหายใจให้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ (ดวงใจ อมาตยกุล, 2546)
การหายใจ
1111111111เสียงเกิดจาก ลมจากกระบังลมเคลื่อนที่มากระทบเส้นเสียง และทำให้เกิดการสั่นสะเทือน การเกิดเสียงสูงและต่ำ ขึ้นอยู่กับปริมาณของลมที่มากระทบเส้นเสียง คือ ปริมาณลมน้อย เส้นเสียงเกิดการสั่นสะเทือนน้อยทำให้เกิดเสียงต่ำ และปริมาณลมมาก เส้นเสียงเกิดการสั่นสะเทือนมาก ทำให้เกิด เสียงสูง ดังนั้นหน้าที่ของลม คือการทำให้เกิดเสียงสูงต่ำ และอีกหน้าที่คือการทำให้เกิดความดัง-เบาของเสียง ซึ่งเกิดจากการควบคุมปริมาณลมเช่นเดียวกัน
1111111111พื้นฐานสำคัญที่สุดของการร้องเพลงคือ การหายใจ การหายใจที่ดี ต้องมีความสามารถในการควบคุมการหายใจได้ ควบคุมลมที่จะมากระทบเส้นเสียง ควบคุมลมให้เกิดความดัง-เบาของเสียง ความนิ่งเรียบ และช่วงประโยคเพลงได้ดี ดังนั้นนักร้องจำเป็นต้องฝึกซ้อมการหายใจอย่างถูกวิธีและเป็นประจำ เพื่อให้สามารถใช้ลมสำหรับการขับร้องได้อย่างเต็มศักยภาพ
1111111111ขั้นตอนของการเกิดเสียง เริ่มต้นที่ลมหายใจออกไปผ่านกล่องเสียง เกิดเสียงขึ้นและลมหายใจนั้นได้นำไปก้องกังวานในโพรงหน้า (Mask) หรือในศีรษะและพาเสียงออกไป หากผู้ขับร้องสามารถควบคุมลมหายใจให้ทำงานอย่างราบรื่นก็จะร้องเพลงได้ดี มีเสียงที่ไพเราะ จะเห็นว่าสิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรกคือการควบคุมลมหายใจให้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
1111111111อวัยวะที่สำคัญในการหายใจ ได้แก่
1111111111. ปอด (Lungs) ภายในปอดจะมีถุงลมเล็กๆ มากมาย มีหน้าที่ในการเก็บลมเพื่อนำมาใช้ในการหายใจ ฟอกโลหิต ฯลฯ โดยปกติคนเราไม่สามารถหายใจเข้าไปในถุงลมได้ครบทุกถุง แต่การร้องเพลงจำเป็นที่จะต้องฝึก เพื่อให้สามารถหายใจเข้าไปในถุงลมได้มากที่สุด
1111111112. กะบังลม (Diaphram) กล้ามเนื้อผืนใหญ่ใต้ปอด ที่อยู่เหนือกระเพาะอาหารประกอบด้วยซี่โครง และกล้ามเนื้อส่วนชองหน้าท้อง กระบังลมเป็นอวัยวะอีกชิ้นหนึ่งที่เราสามารถบังคับให้ช่วยปอดในการกักเก็บลมได้มากขึ้น เมื่อเราหายใจเข้าปอดซี่โครงจะขยายตัวเพราะถูกดึงโดนกล้ามเนื้อที่ติดอยู่กับหัวไหล่ เมื่ออากาศเข้าสู่ปอดกระบังลมต้องเคลื่อนตัวลงต่ำ และจะมีหน้าที่ดันอวัยวะภายในช่องท้องมิให้เคลื่อนตัวขึ้นตามการขยายตัวของซี่โครง เพื่อที่จะสามารถกักเก็บลมได้มากๆ
11111111111 กะบังลม เป็นโครงสร้างรูปโดม ทำหน้าที่เป็นผนังกั้นแบ่งระหว่างช่องทรวงอกกับช่องท้อง กระบังลมมีบทบาทสำคัญในการหายใจสำหรับการขับร้อง เป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ขอบและส่วนที่เป็นพังผืดอยู่ตรงกลาง เมื่อหายใจเข้ากล้ามเนื้อกระบังลมจะหดตัว ทำให้ความสูงของโดมลดลง และเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องทรวงอกในแนวดิ่งจะยาวขึ้น จึงมีเนื้อที่ในช่องอกเพิ่มขึ้นและปอดขยายตัวเต็มที่ (ดวงใจ อมาตยกุล : 2546)
11111111113. ซี่โครง เมื่อเราหายใจเข้า ปอดจะขยายตัวออก และเมื่อปอดขยายตัวออกจะไปดันซี่โครงให้เกิดการขยายตัว โดยการขยายตัวของซี่โครงนั้นจะขยายจากด้านล่างก่อน
11111111114. กล้ามเนื้อหน้าท้อง (Front Muscles) มีหน้าที่บังคับลมเข้าออกในปริมาณน้อยไปหามาก ดังนั้นการออกเสียงในลักษณะ จากเสียงค่อยไปหาเสียงดัง หรือเสียงแคบไปหากว้างนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้อวัยวะส่วนนี้เป็นอย่างยิ่ง เมื่อเราหายใจเข้ากล้ามเนื้อหน้าท้องจะขยายตัวออกมาทางด้านหน้า การหายใจออกจะเกิดจากการที่ปอดหดตัวลง ซี่โครงกลับคืนสู่ตำแหน่งปกติ กระบังลมยกตัวขึ้นกลับเข้าที่ กล้ามเนื้อหน้าท้องหดตัวลง
1111111111การหายใจเพื่อการขับร้องที่ถูกวิธี คือการหายใจเต็มที่ให้ลึกถึงปอดส่วนล่างจนปอด (Lung) ขยายตัวเต็มที่ ซึ่งจะทำให้ซี่โครงขยายออก ดังนั้นส่วนของลำตัวช่องท้อง (abdomen) จะขยายออกเมื่อมีการหายใจเข้า
ภาพที่ 12 ภาพแสดงอวัยวะที่ใช้ในการหายใจ
ที่มา : ดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล , 2558
กล้ามเนื้อในการหายใจเข้าตามปกติ
- กระบังลม (Diaphragm) เป็นกล้ามเนื้อที่สำคัญที่สุด ในการหายใจ กระบังลมเกาะตามผิว ด้านในของกระดูกซี่โครงที่ 7-12 ,กระดูกลิ้นปี่ และกระดูกสันหลังระดับเอวอันที่ 1-3 โดยกล้ามเนื้อไปเกาะกันตรงกลาง เรียงCentral tendon เมื่อกล้ามเนื้อหดตัวจะทำให้ Central tendon ถูกดึงต่ำลงเพิ่มเส้นผ่าศูนย์กลางในแนวดิ่ง
- กล้ามเนื้อซี่โครงชั้นนอก (External intercostal muscle) หดตัวยกกระดูกซี่โครงขึ้น ทำให้ทรวงอกขยาย ปอดที่อยู่ภายในทรวงอกจะถูกขยายออก ทำให้ความดันในถุงลมในปอดลดลงต่ำกว่าความดันในบรรยากาศ(ปรกติ 760 mmHg.) ทำให้อากาศไหลเข้าไปในถุงลมในปอด จนมีความดันในถุงลมเพิ่มขึ้นเป็น 762 mmHg.
การหายใจออกตามปกติ
เป็นการคลายตัวของกล้ามเนื้อกระบังลม และถุงลมคลายตัวกลับสู่ภาวะปกติ และความดันในถุง ลมมากกว่าในบรรยากาศจะถูกดันกลับออกมาภายนอก ทำให้ความดันในถุงลมลดลงเหลือ 756 mmHg. น้อยกว่าในบรรยากาศเล็กน้อย
ภาพที่ 13 ภาพแสดงอวัยวะที่ใช้ในการหายใจ
ที่มา : ดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล , 2558
การหายใจในเพลง
ต้องเตรียมพร้อมที่จะหายใจอย่างสมบูรณ์ก่นจะถึงประโยคเพลง หากไม่ลากเสียงโน้ตตัวสุดท้ายของประโยคเพลงก็จะมีเวลาในการหายใจก่อนประโยคเพลงถัดไปอีกมาก การที่ต้องหายใจระหว่างเพลงและต้องหายใจให้เต็มที่นั้น มีเทคนิคพิเศษที่จะทำให้หายใจได้ทันคือ ให้สังเกตในเพลงว่าตรงไหนที่ต้องหายใจอย่างรวดเร็ว ก็ให้ขโมยเวลาจากโน้ตตัวหลังสุดของประโยคเพลงก่อนหน้านั้น และการหายใจเข้าอย่างรวดเร็วต้องเตรียมร่างกายก่อนหายใจ โดยยกอกขึ้นให้ซี่โครงขยายออกได้ก่อนและเตรียมโพรงหน้าให้ถูกต้องด้วย ไม่ให้อัดลมอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้เตรียมร่างกาย
1111111111กระบวนการหายใจประกอบด้วย 2 ลักษณะคือ การหายใจเข้าและการเป่าลมออก
1111111111การหายใจเข้า การหายใจเข้าที่ถูกต้องไม่ว่าจะนั่งหรือยืนควรอยู่ในลักษณะอกผายไหล่ผึ่ง (แต่ไม่ยกไหล่) อย่างธรรมชาติ คือไม่เกร็งอ้าปากโดยดึงขากรรไกรล่างลงแล้วปิดหลอดลมให้กว้างออกเหมือนอาการหาว แล้วสูดลมเข้าทางปากจนเต็มท้องน้อย กะบังลม ปอดและหน้าอก การหายใจเข้าอาจแบ่งออกเป็น 3 ระยะ
1111111111หายใจเข้าระยะที่ 1 โดยเพิ่มลมบริเวณกะบังลมส่วนล่าง อาจจะใช้มือข้างใดข้างหนึ่งแตะบริเวณหน้าท้องโดยให้นิ้วก้อยอยู่บริเวณสะดือหรือบริเวณซี่โครงซี่สุดท้าย เมื่อหายใจเข้าจะรู้สึกว่าท้องป่องออกเล็กน้อย
1111111111หายใจเข้าระยะที่ 2 โดยเพิ่มลมจากระยะที่ 1 ลมจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นโดยเฉพาะบริเวณกะบังลมส่วนบน เอามืออีกข้างหนึ่งจับบริเวณซี่โครงใต้รักแร้เมื่อหายใจเข้าระยะที่ 2 จะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อบริเวณนั้นขยายออกเล็กน้อย
1111111111หายใจเข้าระยะที่ 3 โดยเพิ่มลมให้เต็มปอดจนรู้สึกว่าหน้าอกยกขึ้นเล็กน้อย
การทำงานของอวัยวะเมื่อหายใจเข้า
1111111111ระยะที่หายใจเข้าจะรู้สึกว่ากระบังลม ปอด หน้าอกขยายออก
ภาพที่ 14 แสดงการทำงานของอวัยวะเมื่อหายใจเข้า
( ที่มา : การหายใจ, 2558 )
การเป่าลมออก
การหายใจออกในชีวิตประจำวันนั้นเป็นเรื่องง่ายเพราะไม่ต้องควบคุมลม
แต่การเป่าลมออกสำหรับเครื่องเป่าต้องมีการควบคุมลมให้ออกอย่างสม่ำเสมอหรือตามความต้องการ ขณะที่ปล่อยลมออกกะบังลมและกล้ามเนื้อส่วนล่างจะดันให้ลมออกมาทางปาก ดังภาพ
ภาพที่ 15 แสดงการทำงานของอวัยวะเมื่อเป่าลมออก
( ที่มา : การหายใจ, 2558 )
แบบฝึกหัดที่ 1
111111111111ฝึกความถูกต้องของการหายใจ
111111111111ให้ยืนในลักษณะอกผายไหล่ผึ่งหน้าตรงแต่ไม่เกร็ง เท้าทั้งสองห่างกันเล็กน้อย มือทั้งสองข้างอยู่ในลักษณะเหมือนเท้าสะเอว แต่ให้เอามือจับเบา ๆ ในบริเวณข้อต่อระหว่างซี่โครงและผนังหน้าท้อง หายใจเข้าช้า ๆ จนเต็มปอดและกะบังลม
111111111111ข้อควรระวังระหว่างหายใจเข้า ไม่ยกไหล่หรือเกร็งบริเวณต้นคอทุกอย่างอยู่ในลักษณะธรรมชาติ แบบฝึกหัดนี้ จะสังเกตเห็นการขยายตัวของกะบังลมเมื่อหายใจเข้า และการหดตัวของกะบังลมเมื่อหายใจออก ฝึกประมาณวันละ 3 ครั้ง
1111111111111111111111การยืน หายใจเข้า หายใจออก
ภาพที่ 16 ภาพแสดงการฝึกความถูกต้องของการหายใจ
ที่มา : อัญชลี เมฆวิบูลย์ , 2558
แบบฝึกหัดที่ 2
1111111111111. หายใจเข้า 4 จังหวะ กลั้นหายใจ 4 จังหวะ เป่าลมออก 4 จังหวะ (หมายเหตุพยายามควบคุมลมให้สม่ำเสมอ) ทำติดต่อกัน 4-5 ครั้ง
1111111111112. หายใจเข้า 4 จังหวะ กลั้นหายใจ 4 จังหวะ เป่าลมออก 8 จังหวะ (หมายเหตุพยายามควบคุมลมให้สม่ำเสมอ) ทำติดต่อกัน 4-5 ครั้ง
1111111111113. หายใจเข้า 4 จังหวะ กลั้นหายใจ 4 จังหวะ เป่าลมออก 12 จังหวะ (หมายเหตุพยายามควบคุมลมให้สม่ำเสมอ) ทำติดต่อกัน 4-5 ครั้ง
แบบฝึกหัดที่ 3
นอนหงายชันเข่า โดยเข่าทั้งสองข้างห่างกันพอประมาณ เท้าทั้งสองวางอยู่บนพื้น แล้วดึงลำตัวให้สูงขึ้นเป็นเส้นตรง ระหว่างเข่ากับไหล่ โดยน้ำหนักตกอยู่บนไหล่ทั้งสองข้าง มือทั้งสองข้างวางอยู่บนพื้นขนานกับลำตัว หายใจเข้าช้า ๆ จนเต็มแล้วเป่าลมออกทางปากเหมือนกับเป่าหลอดกาแฟหรือเป่าเทียน ฝึกท่านี้วันละครั้ง ๆ ละไม่เกิน 1 นาที จุดประสงค์ของแบบฝึกหัดนี้เพื่อฝึกการหายใจโดยไม่ให้ยกไหล่
ภาพที่ 17 ภาพแสดงการฝึกการหายใจตามแบบฝึกหัดที่ 3
ที่มา : อัญชลี เมฆวิบูลย์ , 2558
แบบฝึกหัดที่ 4
1111111111111. ยืนด้วยท่าทางสำหรับการขับร้อง
1111111111112. ทำปากรูปสระอูแล้วหายใจเข้า นับ 3 จังหวะ
1111111111113. ขณะหายใจออกให้หดท้องและดึงกล้ามเนื้อหน้าท้องขึ้นเพื่อผลักลม
1111111111114. หายใจออกช้า ๆ ภายในเวลา 10 วินาที ด้วย ซ หรือ S
1111111111115. ขณะฝึกให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อไม่ให้เกร็ง
แบบฝึกหัดที่ 5
1111111111111. ยืนด้วยท่าทางสำหรับการขับร้อง
1111111111112. หายใจเข้า
1111111111113. ขณะหายใจออกให้หดท้องและดึงกล้ามเนื้อหน้าท้องขึ้นเพื่อผลักลม
1111111111114. ร้องเสียงสั้น ๆ ด้วย ซ หรือ S
1111111111115. ขณะฝึกให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อไม่ให้เกร็ง
ข้อสังเกต
11111111111. การหายใจที่ถูกต้องในการเป่า หลอดลมจะเปิดตลอดเวลา สามารถทดสอบได้โดยหายใจเข้าจนเต็มที่ กลั้นลมหายใจแล้วยังสามารถพูดได้แสดงว่าหายใจถูกต้อง
11111111112. หยุดลมโดยใช้กล้ามเนื้อของกะบังลมบังคับ ไม่ใช้วิธีการปิดหลอดลม
11111111113. ขณะที่เป่ากล้ามเนื้อจะตึงอันเกิดจากแรงดันของกระบังลม กล้ามเนื้อหน้าท้องจะค่อย ๆ เข้าทีละนิด ๆ ขณะเป่าแต่ไม่เร็วจนเกินไปเพราะแรงดันของกะบังลมดันให้ลมออกสู่ช่องปาก
ข้อสังเกตความไม่ถูกต้องในขณะฝึกปฏิบัติ
11111111111. หายใจทางจมูก
11111111112. หายใจบ่อยขณะที่เป่าโดยไม่จำเป็น
11111111113. หายใจมีเสียงดัง
11111111114. มีลมไม่เพียงพอ
11111111115. ยกอก ยกไหล่ หรือเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอขณะหายใจเข้า
11111111116. ไม่สามารถควบคุมเสียงให้อยู่ในระดับเดียวกัน
ข้อสังเกตความถูกต้องของการหายใจ
11111111111. เปิดหลอดลมและหายใจทางปาก
11111111112. มีลมพอที่จะเป่าให้หมดประโยคเพลง
11111111113. หายใจเข้าอย่างรวดเร็วโดยได้ปริมาตรของลมที่ต้องการ
11111111114. หายใจเต็มปอดทุกครั้ง
11111111115. ไม่เคลื่อนไหวอวัยวะส่วนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการหายใจ เช่น ไหล่ เป็นต้น
11111111116. สามารถควบคุมลมให้ออกมาอย่างสม่ำเสมอตามต้องการ
ค้นคว้าเพิ่มเติม
1. การฝึกหายใจ
3. ตัวอย่างวิธีฝึกหายใจ
ธรรมชาติของเสียง
111111111111เสียงของมนุษย์จัดอยู่ในประเภทเครื่องดนตรีชนิดเป่าลม เสียงพื้นฐานจะเกิดขึ้นได้จากช่องคอ (Larynx) และมีคลื่นเสียงก้อง (Harmonics) อยู่อย่างสมบูรณ์ เสียงพื้นฐานจะถูกกลั่นกรองหรือเพิ่มกำลังขึ้นโดยช่องปากและโพรงจมูก การกระทำอันนี้จะเพิ่มกำลังให้แก่เสียงสะท้อนตัวอื่นด้วย
111111111111เสียงเกิดจาก ลมจากกระบังลมเคลื่อนที่มากระทบเส้นเสียง และทำให้เกิดการสั่นสะเทือน การเกิดเสียงสูงและต่ำ ขึ้นอยู่กับปริมาณของลมที่มากระทบเส้นเสียง คือ ปริมาณลมน้อย เส้นเสียงเกิดการสั่นสะเทือนน้อยทำให้เกิดเสียงต่ำ และปริมาณลมมาก เส้นเสียงเกิดการสั่นสะเทือนมาก ทำให้เกิด เสียงสูง ดังนั้นหน้าที่ของลม คือการทำให้เกิดเสียงสูงต่ำ และอีกหน้าที่คือการทำให้เกิดความดัง-เบาของเสียง ซึ่งเกิดจากการควบคุมปริมาณลมเช่นเดียวกัน อวัยวะในการเปล่งเสียง ประกอบด้วย
11 1111. เส้นเสียง
ภาพที่ 18 เส้นเสียง
( ที่มา : ดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล , 2558 )
11111111111เส้นเสียง เปรียบเหมือนเครื่องดนตรีประจำอยู่ในร่างกายของเรา เส้นเสียงเป็นกล้ามเนื้อบาง ๆ สั้น ๆ มีความยาวประมาณ 1.2-1.7 เซนติเมตร กว้าง 0.2-0.3 เซนติเมตร ขวางอยู่เหนือหลอดลม นอกจากจะทำหน้าที่ทำให้เกิดเสียงแล้ว เส้นเสียงยังทำหน้าที่เป็นประตูไม่ให้สิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ผ่านเข้าไปในหลอดลม
ภาพที่ 19 แสดงการเคลื่อนไหวของเส้นเสียง
( ที่มา : ดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล , 2558 )
111111. เส้นเสียงขณะหายใจเข้า จะเปิดออกในรูปแบบสามเหลี่ยม
111112. เส้นเสียงขณะสร้างเสียง โดยจะปิดเข้าชิดกันและเกิดการสั่นพลิ้วทั้งเส้นสำหรับระดับเสียงต่ำ
111113. เส้นเสียงพลิ้วด้านหน้า สำหรับระดับเสียงกลาง
111114. เส้นเสียงพลิ้วด้านหลัง สำหรับระดับเสียงสูง
มารู้จักเส้นเสียงกันเถอะ
11 1112. ช่องคอ
ภาพที่ 20 ช่องคอ
( ที่มา : http://www.google.co.th , 2558 )
11 1113. ช่องปาก
ภาพที่ 21 ช่องปาก
( ที่มา : http://www.google.co.th , 2558 )
การออกเสียงให้ถูกต้องตามอักขระวิธี
11111การออกเสียงคำต่าง ๆ ในการขับร้องต้องประสานกับการฝึกลมหายใจ การเปล่งเสียงและการสร้างเสียงสะท้อน การฝึกการออกเสียงเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้การร้องเพลงได้ดี การออกเสียงพยัญชนะ สระและวรรณยุกต์อย่างไม่ถูกต้อง ยางครั้งทำให้ความหมายของเพลงเปลี่ยนไป ในทางกลับกัน ถ้าผู้ขับร้องออกเสียงภาษานั้น ๆ ได้ถูกต้องตามอักขระวิธีก็จะเพิ่มความประทับใจให้กับผู้ฟัง
ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีวรรณยุกต์ และเสียงวรรณยุกต์ที่ต่างกันทั้ง 5 เสียงนั้นทำให้ความหมายของคำต่างกัน ฉะนั้นผู้ขับร้องควรคำนึงและให้ความสำคัญในเรื่องนี้
11111ส่วนการฝึกร้องเพลงภาษาตะวันตกนั้นมีเสียงสระพื้นฐาน คือการออกเสียงตามอักษรโฟเนติคส์สากล หรือ I.P.A (International Phonetic Alphabet) ทั้งหมดมี 5 ตัวคือ a e i o u
11111รูปปากของการออกเสียงสระทั้ง 5 มีดังนี้
[a] :อ้าปากโดยยกขากรรไกรบนขึ้น ปล่อยขากรรไกรล่างตามสบาย ลิ้นวางราบปล่อยเป็นธรรมชาติ อ้าปากตามสบายแต่อย่ากว้างเกินไป
[e] :อ้าปากครึ่งเดียว ลิ้นหดเล็กน้อย ตำแหน่งลิ้นค่อนไปทางด้านหลัง
[i] :ฉีกมุมปาก ลิ้นด้านหน้าเกือบแตะเพดานแข็ง
[o]:ห่อปาก ตำแหน่งลิ้นค่อนไปทางด้านหลัง ช่องปากครึ่งบนเป็นรูปทรงกระบอก ใช้กำลังเต็มปาก
[o]:ห่อปาก ลิ้นส่วนหลังสูงจนเกือบแตะเพดานอ่อน
ภาพที่ 22 ภาพแสดงรูปปากในการออกเสียงสระต่าง ๆ
ที่มา : ดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล , 2558
การปิดคำ
1111111ในการร้องเพลงนักร้องต้องออกเสียงสระมากกว่าพยัญชนะ เพราะการออกเสียงของคำแต่ละคำเราจะออกเสียงพยัญชนะสั้นกว่าสระ โดยเฉพาะคำที่ต้องออกเสียงยาว เช่น คำว่า“ปี”เกิดจาก พยัญชนะ ปอ+สระอี ให้ยาวเป็นเวลา 5 วินาที จะสังเกตเห็นว่าลักษณะเสียงที่ออกมาจะเป็นดังนี้ ปอ+อี (เสียง ปอ. จะได้ยินแค่ครั้งแรกเท่านั้นหลังจากนั้นจะเป็นเสียงสระอี) ดังนั้นในการปรุงแต่งคำร้องให้สละสวยจึงขึ้นอยู่กับการออกเสียงสระให้ถูกต้องชัดเจน และมีน้ำหนักซึ่งเกิดจากการขยับขากรรไกร ลิ้น ริมฝีปากและทำรูปปากให้ถูกต้อง
1111111ถ้าเป็นการออกเสียงสระผสม เช่น คำว่า “ใจ” เกิดจาก สระใอ = อา +อี เวลาออกเสียงควรออกเสียงสระอาสั้นกว่าสระอี เป็น จอ + อา…+ อี (จำนวนจุดแทนความยาวของการลากเสียง) เพราะถ้าออกเสียงสระอายาวกว่าสระอี จะกลายเป็น จอ + อา … + อี (จาย…+อี) หรือความว่า “เกลียว” เกิดจาก พยัญชนะ กล. และ สระ อี + อา + อู ควรออกเสียงเป็น กล + อี…+ อา + อูหรือ กล + อี +…+ อา …+ อ แต่ไม่ควรเป็น กล + อี + อา + อู (เพราะเสียงที่ออกมาจะกลายเป็น“กลู”) การร้องคำที่ไม่มีตัวสะกด ไม่ควรออกเสียงสระเป็นเวลานาน เช่น ฉันรักเธอ หากร้องอยู่บนสระนาน ๆ โดยไม่รีบปิดคำ ก็จะออกมาเป็น ฉาน ร้าก เธอ
1111111การออกเสียงวรรณยุกต์ของคำในภาษาไทยนักร้องต้องระวังให้มาก เพราะถ้าออกเสียงวรรณยุกต์ผิดก็จะทำให้ความหมายของคำนั้นมีความหมายต่างไปจากเดิมทันที โดยเฉพาะเนื้อเพลงที่มีโน้ตดนตรีเป็นคนละเสียงกับวรรณยุกต์ของเนื้อเพลง เช่น ชื่นชีวันเมื่อฉันและเธอชิดใกล้ (เพลงหนึ่งมิตรชิดใกล้) ถ้าร้องออกเสียงให้ตรงกับโน้ต จะต้องออกเสียงเป็น ฉื่นชีวันเมื่อชันและเธอชิดใกล่ นอกจากจะไม่ได้สื่อความหมายตามที่ต้องการแล้ว ยังฟังตลกอีกด้วย วิธีถูกต้องคือนักร้องจะต้องออกเสียงวรรณยุกต์ของแต่ละคำให้ถูกต้องเสียก่อน แล้วจึงใช้เทคนิคของการเอื้อนเสียงให้ได้ตัวโน้ตที่ต้องการ (ปิ่นศิริ, 2548: 37-39)
เสียงสะท้อน
111111111อวัยวะที่ทำให้เกิดเสียงสะท้อน คืออวัยวะที่กลั่นกรองเสียง ประกอบด้วยช่องคอ โพรงจมูก ช่องปาก เพดานแข็ง ลิ้น ฟัน ริมฝีปาก เป็นต้น
ภาพที่ 23 แสดงอวัยวะในการออกเสียง
( ที่มา : https://shcoolofphonetic.wordpress.com , 2558 )
อวัยวะในการสร้างเสียงสะท้อน ประกอบด้วย
111111. ทรวงอก
111112. โพรงปากและโพรงจมูก
111113. โพรงกะโหลก
11111จุดประสงค์ของการ เสียงสะท้อน คือทำให้เสียงไพเราะ สมบูรณ์ สดใส ชัดเจนมีกังวานทุกเมื่อ การเปล่งเสียงร้องให้เกิดเสียงสะท้อนได้นั้น ต้องอาศัยวิธีการหายใจที่ถูกต้องและเปิดช่องคอให้เป็นธรรมชาติและไม่เกร็ง ปล่อยให้คลื่นเสียงตามธรรมชาติสะเทือนในอวัยวะที่ทำให้เกิดเสียงสะท้อน เกิดเป็นเสียงอันไพเราะ มีกังวาน
เสียงสะท้อนแบ่งออกเป็น
111111. เสียงสะท้อนในช่องอก (Chest Tone) เป็นการขับร้องในระดับเสียงต่ำ เป็นเสียงที่เปล่งออกมาได้ง่ายที่สุด โดยจะรู้สึกสั่นสะเทือนบริเวณหน้าอก เสียงที่ได้จะมีความกังวาน ทุ้ม ใหญ่ เป็นโทนที่แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกสุขุม รอบคอบ เศร้า เหงา โรแมนติก ฯลฯ ลักษณะของเนื้อเสียงจะเหมือนกับเสียงพูดปกติของชาวตะวันตก ตำแหน่งเสียงทางกายภาพจะอยู่ที่บริเวณ หน้าท้องถึงบริเวณริมฝีปากล่างหลักการร้องเพลงเสียงต่ำ ปฏิบัติได้ดังนี้
1111111113.1 ใช้เลียนแบบเช่นเดียวกับการพูด เสียงจะอยู่ที่ริมฝีปาก พยัญชนะและสระอยู่ที่ริมฝีปากไม่ใช่อยู่ในคอ
1111111113.2 เมื่อจะเริ่มร้องเสียงต่ำจะต้องเริ่มคิดเสียงสูงไว้
1111111113.3 ยิ่งเสียงลงต่ำช่องในปากจะเล็กลง ถ้าปากกว้างไปเสียงจะไม่มีกำลัง
1111111113.4 เวลาร้องเสียงต่ำไม่ควรร้องเสียงดัง
1111111113.5 และบังคับลมและกำลังไว้ไม่ให้พลังออกมามากพร้อมกับเสียง เพราะจะทำให้เสียงหนักเกินไป
1111111113.6 ให้เสียงต่ำมีลักษณะก้องหรือสะท้อนกังวานออกมาคล้ายเสียงฮัม
111112. เสียงสะท้อนในโพรงปากและจมูก (Mouth Tone) โทนเสียงกลาง เป็นโทนเสียงที่แสดงออกถึงอารมณ์ที่ปกติ สบาย ๆ เมื่อปล่อยเสียงจะรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนบริเวณช่องปากและในโพรงอากาศบริเวณจมูก ลักษณะของเนื้อเสียงจะเหมือนกับเสียงพูดปกติของชาวตะวันออก ตำแหน่งเสียงทางกายภาพจะอยู่ที่บริเวณ ริมฝีปากถึงโหนกแก้ม
111113. เสียงสะท้อนในช่องกะโหลก (Head Tone) โทนเสียงระดับสูง เป็นเสียงที่แสดงออกถึงอารมณ์ที่ดีใจ เสียใจ สนุกสนาน เป็นการขับร้องในเสียงสูง ระดับเทนเนอร์ และ โซปราโน ขณะเปล่งเสียงจะรู้สึกสั่นสะเทือนก้องบริเวณ เหนือลิ้นไก่และพริ้วไปตามส่วนหลังของศีรษะ เกิดความก้องกังวานในโพรงกะโหลกศีรษะแผ่กระจายมาถึงโพรงอากาศบริเวณหน้าผาก ตำแหน่งเสียงทางกายภาพจะอยู่ที่บริเวณระหว่างคิ้ว หลักการร้องเพลงในโทนเสียงสูง ปฏิบัติได้ดังนี้ คือ
111111113.1 ใช้สมองหรือใช้ความคิดช่วยในการร้องเสียงสูง เช่น จะร้องเสียงซอลสูงให้สมมุติว่าจะร้องเสียงสูงเท่ากับที่เคยร้องมาก่อน
111111113.2 การร้องเสียงสูงต้องใช้พยัญชนะเร็วและชัด โดยใช้พลังของลมจากพยัญชนะถึงสระ
111111113.3 การร้องเสียงสูงให้ปล่อยเสียงออกมาตามสบายโดยไม่ต้องบังคับ
111111113.4 เมื่อร้องเสียงสูงให้ปล่อยขากรรไกร ปล่อยลิ้นตามสบาย อ้าปากกว้างไม่ต้องเงยหน้าและไม่เกร็ง
111111113.5 ใช้พลังของลมจากกล้ามเนื้อที่หน้าท้อง เอวและสะโพก แต่ใช้กล้ามเนื้อที่คอเปล่งหรือบังคับเสียง
ค้นคว้าเพิ่มเติม
การออกเสียง Head Tone / การออกเสียง Mount Tone / การออกเสียง Chest Tone
การรักษาเสียง
111111111สภาพชองเสียง ขึ้นอยู่กับสุขภาพของนักร้องด้วยการรับประทานอาหารที่เหมาะสม นอนหลัยบเพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ควรตะโกน ไม่ควรร้องเสียงดัง หรือกรีดร้องเสียงแหลม เพราะจะเป็นการทำงานเสียง การเชียร์กีฬากลางแจ้งที่จะต้องใช้เสียงตะโกนดัง ๆ จะทำให้คอเกร็ง กล้ามเนื้อคอถูกบีบทำให้เสียงเสีย
111111111การไอหรือกระแอมไอเมื่อระคายคอ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพเสียงเช่นกัน เมื่อมีอาการไอควรรีบพบแพทย์ เพื่อรักษาให้หายโดยเร็ว
111111111นักร้องควรระวังใช้เสียงในทางที่ผิดด้วยการบังคับเสียงในลักษณะที่ไม่สมควร เช่น ร้องเพลงดังเกินไปหรือการร้องเพลงเสียงสูงหรือเสียงต่ำเกินความสามารถของตนเอง เมื่อปล่อยให้เกิดขึ้นบ่อยๆ เสียงจะเสีย จะเกิดอาการเสียงแหบหรือเสียงหาย แสดงว่าเส้นเสียงบวม ต้องหยุดพูดและหยุดร้องเพลงจนกว่าจะหาย มิฉะนั้นเสียงจะแหบถาวร
การถ่ายทอดความรู้สึกผ่านบทเพลง
111111111สามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกถึงความสุข สนุกสนาน หรือความทุกข์เศร้าโศก ผ่านทางคำพูด สีหน้าแววตาหรือท่าทาง เพื่อให้ผู้อื่นรับรู้ว่าเรากำลังรู้สึกอย่างไร เช่นเดียวกันกับบทเพลงที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของคนแต่ง ออกมาได้อย่างละมุนละไม นักแต่งเพลงจึงต้องทำผลงานเพลงให้ดี สามารถแสดงถึงความต้องการทางอารมณ์ ที่อยากสื่อสารให้ผู้ฟังได้รับรู้อย่างชัดเจน ถึงแม้จะเป็นเรื่องราวที่ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อความบันเทิง แต่ก็ต้องมีความจริงใจในเนื้อหาด้วย เพื่อที่ผู้ฟังจะได้รู้สึกว่า เพลงนี้สามารถสัมผัสถึงหัวใจของเขาได้อย่างแท้จริง
You must be logged in to post a comment.